ทริปนี้เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2019 เราแบ่งทริปเป็น 2 ช่วง ช่วงแรก อิสเราเอล เทว อาวีฟและเยรูซเล็ม เราเที่ยวคนเดียว ช่วงหลัง จอร์แดน มีเพื่อนตามมา Road trip กัน
TRIP ITENERARY
DAY 1 BKK – AMMAN, JORDAN
DAY 2 AMMAN – TEL AVIV
DAY 3 TEL AVIV – JERUSALEM
DAY 4 JERUSALEM
DAY 5 JERUSALEM – AMMAN
DAY 6 AMMAN – WADI MUJIB – MOUNT NEBO – DEAD SEA
DAY 7 DEADSEA – WADI RUM
DAY 8 WADI RUM – PETRA
DAY 9 PETRA
DAY 10 PETRA – AMMAN
DAY 11 JERASH , AMMAN – BKK
DAY 1 BKK – AMMAN, JORDAN
เราเลือกมาลงที่จอร์แดนก่อนนั่งรถข้ามไปอิสราเอล เพราะ ณ ช่วงที่ไปต.ค. เครื่องบินไปอิสราเอลโดยตรงไม่มี ส่วน BKK-AMM มีบินตรงคือ Royal Jordan ประหยัดเวลาจริง แต่ราคาก็แรงเช่นกัน เราจึงมาลงเอยที่ Oman air
มาถึงอัมมานห้าโมงเย็น ผ่าน immigration สบายๆ เพียงแค่โชว์ Jordan pass ที่ซื้อออนไลน์มาก่อน เจ้าหน้าที่ก็น่ารักมากชวนคุยคำทักทายหลายภาษาในย่านเอเชีย ก็คนมันไม่เยอะนิ่ กว่าจะปั๊มให้เข้าก็กินเวลาเพราะมัวแต่แลกเปลี่ยนภาษากันนี่แหละ
หลังจากรับกระเป๋าแล้ว เราไปที่ Money exchange การแลกเงินใดๆ ที่สนามบินอัมมานเราจะโดนคอมมิสชั่นหนักมาก แลก 50 USD ได้มาแค่ 29 JD (Jordan dinar) จากที่เราควรได้ 35 JD หรือค่าคอม 12% (Rate 100 USD 70 JD) ขนาดมีคนต่างชาติเดินมาถามจะแลกยูโร เจอเรทแล้วไม่แลกเลย สำรวจแล้วทุกบู๊ทราคาเท่ากัน พอออกไปด้านนอก (ยังไม่ออกจากอาคาร) เลี้ยวขวาไปซื้อซิม จะมี 3 เจ้า เราเลือกเจ้าขวาสุด ถูกสุดแถมยังแถมเน็ตให้อีก 30 GB ออกมาด้านหน้าอาคารไปซื้อตั๋ว airport bus จะมีบู๊ทอยู่ทางขวา แจ้งสถานที่ที่เราจะลง เราไปลงที่ North station 3.3 Dinar
พอถึง North station เราได้ถามร.ร.ไว้ก่อน เค้าให้นั่งแท็กซี่พร้อมย้ำ 2-3 JD!! เราก็เลือกรถพร้อมย้ำว่ากดมิเตอร์นะ พอถึงร.ร.โดนไป 15 JD ต่อลงได้เลือก 10 สรุปคือโดนหลอก ทั้งที่เราก็ถามให้แน่ใจแล้วนะ เค้าบอกรถแท๊กซี่ต้องเป็นอีกแบบ อ้าว แปลว่าเราที่เรานั่งไม่ใช่แท็กซี่ แต่มีมิเตอร์ปลอม เย้ Welcome to Jordan (Taxi อีกคนกล่าวไว้) ซึ่งก็อย่าคิดมากเพราะมาประเทศใหม่ๆ ถ้าไม่โดนหลอกก็จะไม่รู้ ถ้ารู้แล้วต่อไปก็จะไม่โดน (แบบเดิม) อีก
ถึงโรงแรมก็สองทุ่มแล้วพนักงานพูดอังกฤษไม่ได้ ให้เราโทรคุยกับเจ้าของซึ่งสำเนียงอังกฤษดีมาก เราจะแลกเงินปรากฏเงินหมด ณ เวลานี้ Money exchange ก็ปิดหมดแล้ว พรุ่งนี้เช้าเราจะรีบไปด่านข้ามไปอิสราเอล ไม่แลกคืนนี้จะเสียเวลามาก เจ้าของเลยบอกว่าจะให้แลกกับแท็กซี่ที่จะมารับเราไปสถานีพรุ่งนี้เช้า 6.30 อืม ระบบนี้ก็มี หลังจากจัดการทุกอย่างเรื่องแลกเงิน จองแท็กซี่ อ้อ ทีแรกเราจองโรงแรมนี้เพราะใกล้สถานีรถ Jett ที่เป็นรถบัสไปด่านชายแดน แต่เมื่อเจ้าของโทรถามแล้วปรากฏว่ารถไม่วิ่งแล้ว เรามีทางเลือกคือเหมาแท็กซี่ 25 JD หรือขึ้นแท็กซี่กลับไปขึ้นแชร์มินิแวน 8.5 JD ที่ North station แน่นอนแชร์มินิแวน
หลังจากเข้าห้องไรเรียบร้อยก็ออกไปซุปเปอร์หาซื้ออะไรง่ายๆ (เหลือเงินแค่ 15 JD) แต่กว่าจะหาซุเปอร์เจอนั้นไม่ง่ายเลย มันอยู่ในอาคารอะไรก็ไม่รู้ที่ทุกอย่างปิดหมด แต่เปิดไฟ อยู่ชั้นสาม ซ่อนอยู่ในหลืบ แต่คนเค้าก็ดีคอยช่วยบอกทาง และให้ตามไป ข้างในซุเปอร์ พนักงานดีมาก เคยเดินตามช่วยเหลือ แทบจะถือตะกร้าให้ เราซื้อแค่โยเกิร์ต กับขนมนิดหน่อยติดตัวเผื่อพรุ่งนี้ระหว่างทางหิวแล้วหาของกินไม่ได้
โยเกิร์ตนี่อยากลองเพราะเคยอ่านรีวิวคนไทยว่าไม่อร่อย แย่ กินไม่ได้ ยี่ห้อมีแบบน้ำบรรจุใส่ขวด กับ แบบข้นที่ต้องตักกิน เราเลือกแบบน้ำมีรูปใบมิ้นต์แปะเอาไว้ อยากลองโยเกิร์ตรสมิ้นต์ เก๋… พอเข้าปาก … เค็ม! เค็มแบบไม่ผสมน้ำตาลเลย เค็มที่สุด มีกลิ่นมิ้นต์นิดหน่อย ฮือ…อ
คืนนี้เรายังต้องจัดกระเป๋าใบเล็กสำหรับ 3 คืนในอิสราเอล ส่วนใบใหญ่ฝากโรงแรมไว้
DAY 2 AMMAN – TEL AVIV
นั่งแท็กซี่ที่จองไว้จากโรงแรมไป North station ระหว่างทางพบว่ารถเยอะมากกกก มองไปทางไหนไม่ว่าจะบนถนนหรือรถจอด จราจรแย่ รถติด ขับรถกันก็แย่ ขับเร็วมาก ไม่มีเส้นจราจรแบ่งเลน บรรยากาศเหมือนอินเดียแต่ไม่บีบแตรเท่า และขับอันตรายกว่า ที่อัมมานมีปัญหาเรื่อง P.M 2.5 เหมือนกันแต่หนักกว่ามาก ตั้งแต่ก่อนมาเปิดแอพดูอุณหภูมิจะเห็นว่าเป็น haze เกือบทุกวัน ก็งงๆ คิดว่าเป็นเพราะอยู่ในทะเลทราย ถามคนอาหรับตั้งแต่บนเครื่องแล้วว่าที่อัมมานมีปัญหาอากาศอะไร จนมาได้คำตอบว่าในอาหรับไม่ใช่แค่อัมมาน แต่ทุกเมืองมีปัญหาเรื่องฝุ่นหมด เพราะรถเยอะ จะมีก็แค่ดูไบที่อากาศดี ส่วนตัวอัมมานเองเป็นเมืองที่อยู่ในหุบเขา เลยเป็นที่เก็บมลพิษเลย คนทั่วไปขับรถยังเปิดหน้าต่างอีกด้วย
เมื่อมาถึงสถานี บรรยากาศช่างแตกต่างจากเมื่อคืน ที่นี่เป็นสถานีรวมรถทั้งรถเมล์ รถสองแถว และมินิแวนที่เราจะนั่งข้ามไปด่านชายแดน ภายในรถมินิแวน นั่งได้ประมาณ 12-14 คน เบาะเก่า สกปรก มีคนนั่งสูบบุหรี่อยู่ข้างใน ทั้งที่เปิดแอร์ ปิดหน้าต่าง … บอกเลยเรื่องบุหรี่ยิ่งกว่าจีนก็จอร์แดนนี่แหละ สูบมันได้ทุกที่ในรถแอร์ หรือแม้กระทั่งโรงแรมห้าดาว
ระหว่างรอรถออก มองดูคนท้องถิ่นมารอรถ ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กวัยรุ่น ผู้หญิงส่วนใหญ่โพกผ้าคลุมหัว ใส่เสื้อผ้าเข้ารูปรัดบน ด้านล่างกางเกงยีนส์ คืออยู่ที่นี่ไม่ต้องเครียดเรื่องแต่งตัวแบบปิดมิดชิดมาก ขอแค่เสื้อมีแขน ไม่เปิดอกเปิดหลัง กระโปรง กางเกงไม่สั้นกว่าเข่า ก็โอเคแล้ว
รถไม่รอให้คนเต็มก็ออกแล้ว จากสถานีถึงด่าน King Hussain หรือ Allenby bridge ใช้เวลาประมาณ 45 นาที รถจะจอดในด่านเลย ภายในมีตึกชั้นสองชั้นหลายตึก มีแบบตึกในตึก เราคนต่างชาติแยกไปคนละตึกกับคนจอร์แดน ตึกที่คนต่างชาติจะทำเรื่องจะต้องเดินเข้าไปตึกแรกเพื่อเข้าไปยังอีกตึก งงใช่ไหม แนะนำให้ไปถึงแล้วถามดีกว่า ขั้นตอนคร่าวคือ
1. สแกนกระเป๋า
2. ไปอีกตึกจ่าย Jordan departure tax 10 JD จ่ายแล้วกรอกข้อมูลยื่นพร้อมพาสปอร์ต รอรับพาสปอร์ตคืน
3. ขึ้นรถบัสของด่าน ค่ารถ 7 JD
4. รถจะจอดระหว่างทางข้ามประเทศ ให้ลงไปยื่นพาสปอร์ต รับคืน กลับมาขึ้นรถ
5. ข้ามถึงด่านอิสราเอล ลงรถ ต่อแถวยื่นพาสปอร์ตด่านตม. รับใบสีฟ้า (Stay permit) ใบนี้ห้ามหาย เพราะเหมือนเป็นใบอนุญาตเข้าเมือง เพราะตม.จะไม่ประทับตราลงวีซ่าเรา (ด้วยเหตุผลทางการเมืองทั้งหลาย) เข้าไปตรวจครั้งที่สอง ก็ออกมาได้แล้ว จากด่านจอร์แดนจนออกด่านอิสราเอล ทั้งหมดไม่เกิน 1 ชั่วโมง
ด่านอิสราเอลมีแค่ตึกเดียวเล็กๆ ห้องน้ำสะอาดเข้าได้ หลังจากออกจากตึกถ้าจะขึ้น Sherut หรือแชร์มินิแวนให้เลี้ยวขวาเดินไปเรื่อยๆ ผ่านจุดซื้อตั๋ว (ตั๋วนี้ไป Jerico ,…) เดินไปถึงหัวโค้งจะมีไม่มีคนหรือรถก็ให้รอตรงนี้ ซักพักจะมีรถมาเอง จากด่านคนอิสราเอลน่ารักมากคอยถามช่วยเหลือตลอด เป็น first impression จริงๆ
รถมินิแวน ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า Sherut/เชอรุท ทางฝ่ายนี้สะอาดเชียว คนขับจะมาเก็บเงินค่ารถ ค่าเงินที่นี่เรียก Shekel (เชคเกิ้ล) แต่เราไม่ได้แลกมา คนขับรับเงิน JD แล้วทอนเป็นเชคเกิ้ลมาให้ เราเลยพอมีเงินติดตัว ตามแผนเราจะไป Tel aviv เลย แต่ไม่มีรถเราเลยต้องไปเปลี่ยนรถที่เยรูซาเลมแทน ระหว่างทางไปผ่านภูเขาสีน้ำตาลอ่อนลดหลั่นภายใต้ท้องฟ้าที่เป็นฟ้าอ่อนไม่มีเมฆ เป็นวิวทิวทัศน์ที่เกิดมาไม่เคยเห็นมาก่อน สวยมาก มองไปทางซ้ายจะเจอสวนอินทผาลัมเป็นหย่อมๆเหมือนเป็นโอเอซิสในดินแดนอันแห้งแล้ง
นั่งมาประมาณ 45 นาทีก็ถึงเยรูซาเล็ม รถจะให้เราลงแถว Damascus gate เราจะต้องเดินต่อไปด้านหน้าถึงหัวโค้งเลี้ยวขวาเดินไปอีกหน่อยจะเจอเชอรุทจอดรอผู้โดยสาร คนขับจะคอยถาม Tel aviv? ก็เข้าไปวางของรอได้เลย จากเยรูซาเล็มไปเทล อาวีฟใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เราเผลอหลับไปช่วงต้น ตื่นทำไมรถอยู่ในอู่ ทางดินเก่าๆ นี่โดนหลอกหรือ ปรากฏรถจอดเติมน้ำ แล้วเราก็หลับต่อ ตื่นอีกทีคือถึงแล้ว ลงรถมาแบบงงว่านี่มันที่ไหน มันคือด้านนอกของ Central bus station จากนี้เดินไปที่พักในย่าน Florestin ประมาณกิโลกว่า
เทล อาวีฟเป็นเมืองที่ค่าครองชีพสูงมากกก มื้อเที่ยงกินสลัดผักตก 400 กว่าบาท ค่ารถเมล์ ห้าสิบบาท ดีที่แต่ละแห่งที่เราจะไปเดินถึง (ระยะทางไม่เกิน 3 km) เริ่มจากเดินไปย่าน Jaffa หรือย่านเมืองเก่า ที่นี่เคยถูกกรีซรุกราน เลยมีสิ่งก่อสร้างแบบกรีซ อาจเป็นเพราะเราเพิ่งไปเกาะครีท (Crete) ที่กรีซมา เลยไม่ได้ตื่นเต้นมาก ตึกเหมือนกัน แต่ที่กรีซใหญ่และสวยกว่ามาก ย่านนี้หากเดินขึ้นไปจะมีจุดชมวิวเมืองจากมุมสูงให้ถ่ายรูป
จากบนเขาเรามานั่งเล่นริมทะเลต่อ อากาศกำลังสบาย 26 องศา ผู้คนออกมาบ้างนอนอาบแดด บ้างเล่นเซิร์ฟ บรรยากาศของการพักผ่อน นั่งบอกลาจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า เราเดินกลับที่พัก ผู้คนในเมืองนี้หน้าตาดีเกินค่ามาตรฐานมาก หน้าแบบฝรั่งผมทองตาฟ้า ผมน้ำตาลตาเขียวก็มี ระหว่างทางเดินกลับมีศิลปะกราฟฟิตี้ตามผนังให้ชมตลอดทาง สวยก็มี สกปรกก็เยอะ จริงๆแล้วก็ดูขัดกับค่าครองชีพที่สูงมาก และบรรยากาศแถวทะเลที่สะอาดและสมัยใหม่
DAY 3 TEL AVIV – JERUSALEM
เช้านี้ไปเดินเล่นย่าน (ที่เค้า) ว่าฮิปแถว Neve Tzedek ส่วนตัวว่าเฉยๆ ถ้ามีเพื่อนคงสนุกเพราะได้ถ่ายรูปเก๋ๆ แวะร้านไอศรีมชื่อดัง Anita อร่อยสมคำล่ำลือ ที่เทล อาวีฟนี่คนเลี้ยงหมากันเยอะมาก ขนาดในร้านไอศกรีม ยังเป็นที่พบปะของหมาๆ
จากนั่นไป Great synagogue ต่อ เสียค่าเข้า 10 เชคเกิ้ล ภายนอกเป็นตึกสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ แบบร่วมสมัย เก่า-ใหม่ เข้าไปก็ไม่มีของประดับตกแต่งอะไรตามสไตล์ Synagouge (อ่านว่า ซิน-นา-ก่อต) พอขาออกไปถามคนขายบัตรซึ่งกำลังคุยกับคนยิวสองคนอยู่เกี่ยวกับการแสดงความเคารพในศาสนายูดาห์ คนยิวทั้งสองเลยอาสาพาเข้าไปใหม่ เค้าจะอธิบายให้เท่าที่เค้ารู้ เพราะคนยิวในเทล อาวีฟไม่ได้เคร่งในศาสนามาก อย่างตัวเค้าเค้าซินนาก่อตปีละครั้ง พูดจบพร้อมเดินไปหยิบหมวกคิบปะ (kippah) ที่มีแจกด้านหน้าวางบนหัว และเริ่มพาทัวร์
ที่ประตูทางเข้าจะมีแท่นสี่เหลี่ยมยาวเท่าฝ่ามือแขวนอยู่ นั่นคือแท่นหรือกล่องที่บรรจุพระคัมภีร์ คนสูงอายุหรือคนที่เคร่งมากจะจูบที่แท่นนี้ก่อนผ่านเข้าไป ปกติจะมีทุกประตู ยกเว้นประตูห้องน้ำ
ภายในซินนาก่อต แบ่งชาย-หญิง โดยผู้ชายอยู่ด้านล่าง ผู้หญิงต้องขึ้นไปชั้นบน ซึ่งเค้าก็ไม่รู้ว่าทำไม ส่วนตัวเค้าไม่ถือ ไม่มีรูปเคารพ มีเพียงตัวอักษรภาษาฮิปรู (ภาษาของคนยิว) แล้วสัญลักษณ์ของ 12 ancient tribes อยู่ข้างละ 6 เค้าอธิบายว่าเค้าเชื่อกันว่ามีชนเผ่าโบราณอยู่ 12 ชนเผ่า ยิวเป็น 1 ในนั้น ส่วนอีก 11 ชนเผ่าได้หายสาบสูญไป ส่วนตัวเค้าเองคิดว่าจีนน่าจะเป็นหนึ่งในนั้น เค้าอธิบายถึงเชิงเทียนที่เรียกว่า Manorah ว่าเป็นวันทั้ง 7 บางเชิงเทียนที่มี 8 คือวันที่เพิ่มขึ้นมาจากการชนะได้ดินแดน (อันนี้เค้าเล่านะ ไม่มีอ้างอิง) ผู้นำหรือ Rambi จะเป็นคนเริ่มสวด โดยเอาผ้ามาห่อตัว เริ่มจากแท่นกลางห้อง และไปที่หน้าด้านใต้คำฮิปรู เนื่องจากยูดาห์ไม่มีรูปเคารพเวลาสวดเค้าจะนึกถึงคำสอนของพระเจ้า สวดพร้อมโยกตัวหน้า-หลัง (เห็นบ่อยเมื่อตอนเข้าไปเยรูซาเล็ม) เราเดินออกมาด้านนอก และเค้าต้องล้างมือที่อ่างด้านข้าง และมีน้ำ (ซ่อนอยู่) ให้ดื่มฟรี ก่อนออกเค้าวางหมวกคิบปะที่เดิม
Manorah คัมภีร์สวด
หลังจบฟรีทัวร์ ก็ไปต่อที่ตลาดนัดศิลปะ Nachalat Binyamin art fair เดินอยู่ 5 นาทีก็ลา บัยยย ปกติไม่ได้ชอบเดินตลาดนัด (ใครชอบเดินตลาดนัดลองไปดู ความยาวประมาณ 200 m)
จากนั้นกลับที่พักเอากระเป๋าไป Central station เพื่อไปเยรูซาเล็ม เดินตามแผนที่ใน Map Me (ที่นี่เราไม่ได้ซื้อซิมไว้) ไปถึงสถานีแล้วแต่หาเชารุทไม่เจอ เลยถามคนที่เดินอยู่แถวนั้น เค้าก็ใจดีพาเดินไปหาเชอรุท แต่ปรากฏเชอรุทเพิ่งออกไปต้องรอ เค้าเลยแนะนำให้ไปขึ้นบัส มันต้องเดินขึ้นตึกข้างๆท่ารถเชอรุท ขึ้นไปน่าจะชั้นสี่ชั้นห้า เค้ายังหาที่ซื้อตั๋วให้ คนที่นี่น่ารักมากจริงๆ แต่เค้าไม่ใช่คนอิสราเอลนะ เป็นคนรัสเซียซึ่งนี่ก็เป็นอีกชาตินึงที่เราประทับใจมาก เป็นชาติที่หน้าฝรั่ง แต่ Asian behavior มีน้ำใจคอยช่วยเหลือ (เราเคยแบ็คแพ็คที่รัสเซีย 2 อาทิตย์) เค้าบอกว่าซื้อตั๋วบนรถได้พร้อมบอกลา จากเทลอาวีฟไปเยรูซาเล็มใช้เวลาประมาณ 45 นาที