Lijiang:Shangri-la#4 : ปฐมบทเข้าสู่หมู่บ้านหยู่เปิง (Yubeng village)

… หมู่บ้านนี่อยู่ในหุบเขาที่รถเข้าไม่ถึง … เจ๋ง!
… รถเข้าไม่ถึงเลยต้องเดินหรือนั่งลา 5-6 ชั่วโมง ข้ามเขาทั้งลูก … เจ๋งมาก!
… ข้ามเขาทั้งลูก ทำให้หมู่บ้านนี้ไฟฟ้าเพิ่งเข้าถึงเมื่อปีที่แล้ว … สุดยอดๆ ไม่ได้แล้ว ต้องรีบไป!

 

DAY 7

รถที่ GH ติดต่อไว้มารับ 8.40 ก่อนเวลานัด 9 โมง   คนขับเป็นเด็กหนุ่มเชื้อสายทิเบตตาตี๋   ผิวคล้ำ  อวบๆ   อายุน่าจะ 20 ต้นๆ   เพิ่งมารู้ตอนนั่งรถไปด้วยกันว่าอายุ 27 แล้ว   ถือว่าเคสนี้แปลกนัก   ปกติคนทิเบตจะดูแก่กว่าอายุจริง 5-6 ปี   เพราะอยู่ที่สูงผิวไม่ค่อยดี  มีริ้วรอยเยอะ

บนรถเรานั่งหน้าคู่กับคนขับเนื่องจากเป็นคนเมารถ   ได้คุยแลกเปลี่ยนกันเยอะ   เริ่มตั้งแต่

บ้านคนทิเบต   บ้านของเค้ามี 4 ชั้น

  • ชั้นแรกเลี้ยงสัตว์ หมู   จามรี  แพะ
  • ชั้นสอง ห้องครัว
  • ชั้นสาม ห้องนอน โดยนอนรวมกันหมด  บ้านเค้ามี ย่า  ปู่  พ่อ  แม่  พี่ชาย 2 คน  และพี่สะใภ้   ครอบครัวใหญ่
  • ชั้นสี่ ห้องพระ

 

การศึกษา   เค้าไม่ได้เข้าระบบเรียนแบบจีน   จึงไม่มีวุฒิการศึกษา   แต่เค้าไปเรียนภาษาทิเบตที่ชิงไห่มา 3 ปี   จึงถนัดพูดอ่านทิเบตมากกว่าจีนกลาง

ช่วงนึงก่อนถึงวัด Dong zhu lin si (东竹林寺)  รถติดยาวเลย   คนขับไปสืบมาได้ความว่ามีงานเต้นระบำหน้ากาก   ชวนเราไปดูกัน   ถามทุกคนแล้วไม่มีใครสนใจ   อยากรีบไปให้ถึงจุดหมาย  กลับมาคิด ณ วันที่เขียนนึกเสียดาย   งานไม่ได้มีจัดบ่อยๆ  แต่ด้วยแผนที่วางไว้แน่นกลัวทำตามไม่ได้   ทำให้ไม่สนใจสิ่งรอบด้าน

วิวระหว่างทางสวยระดับ โคตรสวย ภูเขาสูง ภูเขาสูง และภูเขาสูง   หิมะบนยอด   ด้านล่างเป็นแม่น้ำจินซาเจียงถนนโค้งไปมาไต่ตามเขา   สภาพถนนปูนดีมาก

จนมาถึงจุดต้องแวะจุดแรกคือจุดที่แม่น้ำจินซาเจียงซึ่งเป็นแม่น้ำหลักของจีนเปลี่ยนทิศ (长江第一弯)   โดยภูมิประเทศเขากั้นขวางลำน้ำ   ทำให้น้ำไหลย้อนกลับขึ้นไปในจีนแทนที่จะไหลลงทางใต้ตามเส้นทางเดิมออกออกจีนไป

IMG_1392
monotone มาก  นี่ถ่ายจากกล้องจริงๆ นะ The first bend

 

จุดนี้เราต้องเสียค่าตั๋ว 230 หยวน   รวมค่าเข้า 4 ที่

  1. จุดชมจินซาเจียง
  2. หมู่บ้านหยู่เปิง (Yubeng/雨崩)
  3. วัดเฟยไหลซื่อ (Fei lai si/ 飞来寺)
  4. จุดชมวิวอู้หนงติ่ง (Wu nong ding/ 雾浓顶)

 

ถนนที่สูงที่สุดในเส้นทางนี้อยู่บนเขาหิมะป๋ายหม่า (Bai ma / 白马山,  4300 เมตร)   คนขับหยุดให้ถ่ายรูปซึ่งเป็นเขาดูแร้นแค้นมีแต่ดินหัวโล้น   กำลังถ่ายรูปเล่นกันคนขับเรียกเราให้ไปดูอะไรในมือเค้า   เดินเข้าไปหา   เค้าแบมือ แท้แดนนน   หิมะจ้า   ปรากฏว่าอีกฟากของเขายังมีหิมะหลงเหลือ   วิวช่วงลงเขาสวยมากจริงๆ แนวเทือกเขาหิมะสลับกันไปมา   ใบไม้เปลี่ยนสี  สุดๆจริงๆ

IMG_1436
Autumn ใบไม้เปลี่ยนสี  ฉากหลังภูเขาหิมะ

 

หลังจากกินข้าวเสร็จ   ขับผ่านตัวเมืองเต๋อชิน (จริงๆเป็นอำเภอนะ)   เราแวะซื้อน้ำและขนมก่อนเพราะหลังจากนี้จะหาร้านค้ายากขึ้น   จากเต๋อชินไปวัดเฟยไหลซื่อ   จุดชมวิวเขาหิมะศักดิ์สิทธิ์ Mei li (Mei li snow mountain/美丽雪山 , 3700 เมตร)  ประมาณครึ่งชั่วโมง

ณ จุดชมวิวเขา Mei li   โซนที่มีเจดีย์ขาวหลายๆ อัน   วิวอลังการอีกแล้ว   โชคดีมากที่ฟ้าเปิดมองเห็นยอดแหลมสูงสุดของเขาชัดเจน   ยังเห็นธารน้ำแข็งหมิงย่ง (Ming yong) อยู่ต่ำลงมาจากยอดเขา   ยอดแต่ละยอดที่เราเห็นวิว 180 นี้   มีชื่อเรียกทุกยอด   เวลาชี้ต้องชี้ด้วยความเคารพโดยการผายมือหันนิ้วไปทางเขา   ถ้าใช้นิ้วชี้แบบคว่ำมือถือว่าไม่สุภาพ

 

มองที่นี่ไว้นะ   ขากลับเราจะมาพักที่นี่เพื่อดูวิวพระอาทิตย์ขึ้นและตกแสงสะท้อนลงบนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ Mei li

นั่งรถไปต่อจะเจอทางสามแยก   เราจะเพิ่มคืนที่หยู่เปิง   รวมนอนทั้งหมด 3 คืน   โดยเพิ่มเส้นเดินเขาไป base camp (Da ben ying/大本营) ขึ้นมา   แผนแรกเราก่ะเดินเส้นไปน้ำตกศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

หลังจากทางแยกนั้นมาถนนซ่อมตลอด   คนขับโอดครวญทุกครั้งที่รถโขยกเขยก “รถของฉัน   โอ รถของฉัน”  จนมาถึงหมู่บ้าน Xi dang (西当村)   ซึ่งเป็นทางเข้าของหยู่เปิง   คนขับช่วยหาที่พักให้   เป็น guesthouse เจ้าของเป็นคนทิเบต   ห้องน้ำรวมแยกระหว่างห้องอาบน้ำและส้วม   ส้วมนั้นเราไม่แตะเลย

 

DAY 8

ขอเล่าเรื่องการตัดสินใจที่จะไปหมู่บ้านนี้ซะหน่อย   ได้ยิน   ได้ข้อมูลมาว่า …

… หมู่บ้านนี่อยู่ในหุบเขาที่รถเข้าไม่ถึง … เฮ้ย Cool!

… รถเข้าไม่ถึงเลยต้องเดินหรือนั่งลา 5-6 ชั่วโมง  ข้ามเขาใหญ่ทั้งลูก … เฮ้ย Cooler!

… ข้ามเขาทั้งลูก   ทำให้หมู่บ้านนี้เพิ่งมีไฟฟ้าเมื่อปีที่แล้ว (2013) … เฮ้ย Coolest ต้องรีบไป!

 

จากที่พักเราเหมารถเจ้าของไปส่งที่จุดขี่ลา   ทีแรกคิดว่าอยู่ในหมู่บ้านนี้แหละ  แต่ความจริงคือเราต้องนั่งรถขึ้นเขาวนซ้ายขวาไปมาไต่ขึ้นๆๆๆๆๆ เจอเหล่าลาๆๆๆ ลาจริงๆเดินขึ้นไปทำงานรับจ้างให้คนขี่เอง   โดยไม่มีเจ้าของคุมทิศทางเลย   เล็งไว้ว่าเราจะขึ้นตัวไหนดีนะ   ขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ทำให้รู้ว่าหมู่บ้าน Xi dang ที่เราค้างคืนมันอยู่ในหุบเขา   เรากำลังขึ้นเขาไปเรื่อยสูงกว่าตัวหมู่บ้านหลายร้อยเมตร   อาจถึงกิโลได้   สูงมากมองเห็นหมู่บ้านอยู่ไกลๆ ลิบๆ จนมาถึงจุดที่เป็นลานจอดรถ   เราจะต้องนั่งรอลามาทำงานก่อน   อุณหภูมิ 3 องศา … หนาวววว

ประมาณเก้าโมงออฟฟิตลาเปิดบริการ   มีเราเป็นกลุ่มแรกๆที่มารอ   ก็น่าจะใช่ที่หมู่บ้านไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นเลย   ลา 1 กลุ่มจะมีคนดูแลเดินตามไปด้วย   เค้าเลือกขนาดลาตามขนาดตัวคนขี่   ใครที่กระเป๋าหนักจะต้องใช้ลาอีกตัวขนของ (จ่ายเพิ่ม)

IMG_1472

ลาตัวที่เรานั่งเป็นตัวผู้ชื่อ “ฮวาจือหมู่” ชื่อทิเบต      เส้นทางเป็นทางดินทั้งหมด   ด้านซ้ายเป็นเหว   ด้านขวาเป็นเนินเขาสูง   ลาถูกฝึกให้ขาลงเดินชิดฝั่งเนินเขา   ส่วนขาขึ้นนั้นเดินชิดซ้าย   ชิดเหว   ชิดมากๆๆๆๆ   ชิดขนาดว่าขาข้างซ้ายเราลอยอยู่บนเหวเลย  ตอนแรก ยังไม่ชินกรี๊ดตลอดทางจนคนจูงต้องมาปลอบ   คงจะกลัวลาจะตกใจ    ช่วงแรกๆ ลาเดินเรียงหนึ่งกันอย่างเป็นระเบียบ  แต่ความเสียวระดับชิดเหวยังดูไม่สมใจลา  เพราะไอ้สามตัวที่เรานั่งไปนี้   2 ตัวเป็นตัวผู้เลยแย่งกันเดินนำอีก   เวลาแซงไม่ใช่เดินแซงทางขวานะ  แต่วิ่งแซงทางเหว (ซ้าย) !!!   โอ้ย  แค่เดินธรรมดาเราก็จะแย่แล้วนี่หนูแซงซ้ายอีก   บางครั้งตัวผู้ด้านหน้าไม่ยอมเอาก้นมาปัดไม่ให้แซง   จนขาลาไถลอยู่บนหินที่ยื่นออกมานิดเดียวเหนือเหว   ฮือๆ บอกไม่ต้องแซงก็ไม่เข้าใจ   ควรจะดีใจไหมที่ลามีความเป็นผู้นำขนาดนี้

IMG_1495
จะชิดเหวไปไหนเนี่ย

การแข่งขันลายังมีอยู่เรื่อย   คนนั่งชักเริ่มชิน   รู้สึกตัวว่าตกใจไปก็เท่านั้นปล่อยไปตามยถาลาแล้วกัน   ผ่านไปซักชั่วโมงกว่าได้   เริ่มเจอคณะลาสวนทางออกมา   ช่วงนี้ชุลมุนฝุ่นนัก   แนะนำให้เตรียมหน้ากากไปด้วย   เพราะเราต้องสวนทางกันตลอด   ลา 1 ตัว 4 ขา   นี่ลารวมกันไม่ต่ำกว่า 15 ตัว 90 ขาสะบัดดิน   ฝุ่นคลุ้งยังก่ะพายุทะเลทราย

ช่วง 4 ชั่วโมงแรกเป็นช่วงขึ้นๆๆ เขาอย่างเดียว   สงสารลามากเดินไปหอบไป   หายใจดังเชียว    แต่จะให้ลงเดินเองคงจะต้องใช้เวลา 2 วันกว่าจะถึง   เมื่อลาเดินถึงยอดเขา   เราจะผ่านดงธงมนต์   ผูกกันหนาแน่น 2 ข้างทาง   และด้านบนอีก  เราจึงต้องก้มลงกอดลาที่ไม่รู้ชื่อเพื่อหลบเส้นสายธงมนต์   แล้วก็ถึงจุดพักชมวิวอีกจุด   ซึ่งจุดนี้เราสามารถมองเห็นเทือกเขาหิมะเป็นแนวสวยมาก   ดูไม่รู้เบื่อ

IMG_1500
ที่พักลาจุดแรก  คนก็พักด้วย หาไรกินกัน

สรุปจนถึงป้อมตรวจตั๋วเข้าหมู่บ้าน   เรานั่งลาทั้งสิ้น 5 ชั่วโมง! (ตัดเวลาพักครึ่งระหว่างทาง)

*หมู่บ้านหยู่เปิงแบ่งเป็น   หยู่เปิงบน (สูง 3150 เมตร)  และหยู่เปิงล่าง (สูง 3050 เมตร)   ขาลงไปหยู่เปิงล่างใช้เวลาเดินครึ่งชั่วโมง   แต่ขาขึ้นไปหยู่เปิงบน 1 ชั่วโมงเพราะเดินขึ้นเขา  ความสูงระดับ 3000 กว่าเมตรเพิ่มความเหนื่อยหอบเข้าไปอีก

ลุงตรวจตั๋วแนะนำที่พักให้   อยู่หยู่เปิงบน   พร้อมยื่นนามบัตรและโทรถามให้   ยังมีห้องว่างอยู่  (เฮ้ย มีสัญญาณโทรศัพท์ด้วย) ที่พักนี้เป็นที่เดียวกับคนจีนที่เราไปคุยด้วยพอรู้ราคาที่เค้าจองในเน็ตล่วงหน้ามา   การโทรติดต่อให้แบบนี้แน่นอนย่อมบวกเพิ่มค่าน้ำชา   แพงกว่าราคาคนจีน 40 หยวนก็พอไหวนะ   มาหาเอาหน้างานแบบนี้ด้วย

ที่พักที่ลุงแนะนำมาก่อนเดินลงเขาและแยกออกไป   ห่างจากจุดตรวจประมาณ 20 นาที   พอเข้าไปโถงกลางที่เป็นห้องอาหาร   รีเซพชั่นในที่เดียวกัน   พอวิวออกไปนอกหน้าต่างแล้ว   เฮ้ย!!! นี่มันใช่   ใช่แชงกรีล่า (สวรรค์)   มองนอกหน้าต่างออกไปเห็นยอดเขาหิมะ Mei li ชัดเจนมันอยู่ใกล้มากแค่ตรงหน้านี่เอง   มองไปรอบๆ เป็นเขาที่ต่ำลงจากยอดเขาศักดิ์สิทธิ์   จนไปถึงตีนเขาเป็นหยู่เปิงล่าง   หมู่บ้านประมาณ 40 หลังอยู่ตีนเขา   หมอกจางลอยปกคลุมหมู่บ้าน   นี่มันใช่เลย   จะนอนที่นี่ๆ   ไม่สนแล้วว่าห้องเป็นไง   พี่ๆ ขอไปดูห้องที่อยู่ด้านล่าง   ส่วนเราตัดสินใจจบไปแล้วจึงนั่งรอที่ห้องโถง

IMG_1530
วิวจากห้องโถงอาหาร GH
IMG_1533
หมู่บ้านหยู่เปิงบน

เราสั่งอาหารรอให้ขณะพี่ที่ไปด้วยกันไปจัดการกระเป๋า   จนอาหารมาพร้อมกิน   พี่ๆ ก็ยังไม่มา   ไอ้จะกินก่อนก็เกรงใจ   ทำไมนานจัง   รอไป 1 ชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มา   เริ่มตอดอาหารไปเรื่อยๆ   หิวก็หิว   หลังจากข้าวเช้ามาเรายังไม่ได้กินอะไรเลย    นี่ก็ 5 โมงแล้ว   จนมีกลุ่มคนจีนผู้ชายวัยกลางคน 6 คนขึ้นมาสั่งนั่งกินอาหาร   มองเราแล้วมองอีก   อีนี่นี่ยังไงนั่งคนเดียว   สั่งอาหารมา 5 จาน   มองอาหารตรงหน้าด้วยสายตาเว้าวอนแต่ไม่ยอมแตะเลย 555

เส้นทางเดินป่าเขาในหมู่บ้านหยู่เปิงมี 2 เส้นทาง

  1. แคมป์พัก และ ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์* / Base camp & Sacred lake 3800 (大本营 & 冰湖) เบสแคมป์นี้สร้างขึ้นตอนที่มีกลุ่มนักปีนเขาร่วมจีน-ญี่ปุ่น 17 คนต้องการพิชิตยอดเขาคาวาเกอโบยอดที่สูงสุดของเขาศักดิ์สิทธิ์ Mei li แต่เกิดหิมะถล่มสูญหายไปทั้งหมด   ยอดเขานี้จึงยังไม่มีนักปีนเขาคนไหนพิชิตได้ (จากฝั่งจีน)   จากนั้นมาไม่มีการจัดการปีนเขาขึ้นอีกเลย   เบสแคมป์จึงทิ้งร้าง   และถูกเปลี่ยนเป็นที่ทำอาหารให้นักเดินเขาที่จะไปทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่ตีนเขา   สูง 3800 เมตร

 

เส้นทางนี้ระหว่างทางรวมไป-กลับ 24 กิโลเมตร   เส้นทางดินอย่างเดียว   บางครั้งเทรลไม่ชัด   เดินๆไปก็มาบรรจบกันเอง   เดินเองได้ไม่ต้องมีไกด์   สามารถเช่าลาไปได้   แต่จะไปได้แค่ระยะนึงเท่านั้นที่เหลือต้องเดินเท้าอย่างเดียว

 

  1. น้ำตกศักดิ์สิทธิ์* / Sacred waterfall (神瀑) ทางนี้เป็นเส้นที่นิยมมากกว่าเส้นไปเบสแคมป์เนื่องจากมีการทำทางปูนที่ชัดเจน เหลือแต่ช่วงท้ายๆ ที่เป็นทางธรรมชาติ แต่เส้นทางชัด   ระยะทางไปกลับ 14 กิโลเมตร   เช่าลาไปได้จนถึงช่วงก่อนขึ้นเขา

 

*คนทิเบตเคารพภูเขาหิมะว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์   (ไม่ใช่ภูเขาหิมะทุกเขานะ)   เพราะฉะนั้นน้ำที่ไหลลงมาจากยอดเขาก็ถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์  กลายเป็นทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์   น้ำตกศักดิ์สิทธิ์   รวมถึงสัตว์น้ำในแหล่งน้ำ   เช่น   ปลา   คนทิเบตก็ไม่กินเช่นกัน

ย้อนกลับมาที่ๆพัก   ได้พูดคุยกับกลุ่มคนจีนกวางตุ้งเค้าไปเส้นเบสแคมป์  ทะเลสาบกันมา   ทีแรกเราตั้งใจจะไปแค่เบสแคมป์   ไม่ไปทะเลสาบเพราะในรีวิวบอกงั้นๆ ไม่มีอะไร   กลุ่มคนจีนแนะนำว่าทางไปทะเลสาบก็ไม่ค่อยมีอะไรแต่ยังไงก็ไปแล้วไปให้ถึงทะเลสาบละกัน    ให้ออกตั้งแต่ 8 โมงเช้า พร้อมบอกว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้คือไม้เทรค   ซึ่งเราสามารถเช่าได้จากที่ GH เลย   10 หยวน

ตอนที่แก๊งคนจีนบอกว่าระยะทางรวม 24 กิโลนี่สะตั๊นไปเกือบนาที    ห๊ะ   เฮ้ย   จะรอดไหม    ปกติก็อยู่ในเมืองไม่เคยไปเดินป่าเขา   ครั้งสุดท้ายก็ค่ายลูกเสือตอนม. 3  ^^;;    ในเมื่อมาแล้วลองดูก็ไม่เสียหายอะไร

Leave a comment